วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Collagen คือ "คอลลาเจน คืออะไร

Collagen คือ "คอลลาเจน คืออะไร"

มีหลายคนสงสัยว่า collagen คือ หรือ คอลลาเจน คืออะไร วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาคุณๆ มาไขข้อสงสัยเรื่อง collagen คือ หรือ คอลลาเจน คืออะไร กันค่ะ การดูแลตัวเองให้มีผิวพรรณที่ดูดี เปล่งปลั่ง มีผิวหน้าที่ไร้ริ้วรอย ดูอ่อนกว่าวัย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สาวๆ ทั้งหลายให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากร่างกายที่ต้องได้รับอาหารที่มีประโยชน์มาบำรุงแล้ว สำหรับสาวๆ อย่างเราๆ ผิวพรรณก็เป็นอีกหนึ่งความต้องการที่จำเป็นต้องบำรุงและใส่ใจให้ถึงที่สุด แล้ววันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพาสาวๆ มาพบกับตัวช่วยในการบำรุงผิวพรรณที่ดีอีกชนิดหนึ่งนั่นก็คือ collagen (คอลลาเจน) และเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เชื่อว่ายังมีสาวๆ ที่ยังไม่ชัดเจนกับตัวช่วยในการดูแลผิวอย่างเจ้าคอลลาเจนนี้ดีสักเท่าไหร่ และก็อยากจะรู้ใช่ไหมหล่ะค่ะว่า collagen คือ หรือ คอลลาเจน คืออะไร วันนี้เราก็ได้นำเอาคำตอบที่หลายๆ คนยังคงสงสัยว่า ollagen คือ หรือ คอลลาเจน คืออะไร มาฝากกันค่ะ รับรองว่าใครที่รู้จักประโยชน์และสรรพคุณว่า collagen คืออะไร และมีดีขนาดไหน คุณก็สามารถนำเจ้าคอลลาเจนนี้มาใช่บำรุงผิวของคุณได้อย่างดีมีประสิทธิภาพและเห็นผลได้ชัดเจนแน่นอนค่ะ ว่าแล้วเราก็ไปทำความรู้จักกับเจ้า ollagen คือ หรือ คอลลาเจน คืออะไร และจะเป็นตัวช่วยสำหรับผิวพรรณของคุณได้ดีขนาดไหน สาวๆ ทั้งหลายไม่ควรพลาดเลยนะค่ะ


ผิวหนังเราทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกายต้องสัมผัสกับแดดจ้าฝุ่นควันพิษต่างๆ นาๆ ไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณแห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึกสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อนเวลาและวัยอันควรปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณก็คือ คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่วไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกายโดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75%



collagen คือ "คอลลาเจน คืออะไร"

คอลลาเจน (collagen) มีสารประกอบที่สำคัญคือ Proteoglycan และ Glyconsaminoglycans ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของผิวเส้นผม เล็บ กระดูก ข้อต่อ ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน (collagen) ว่า "กาวแห่งชีวิต" เพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกันรวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิวหนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน (collagen) ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบเนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน (collagen) กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม


การสูญเสีย คอลลาเจน (collagen)

น่าเสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเราเมื่อมีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจน (collagen) จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปีและเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหรือที่เป็นปัญหาเรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน (collagen) ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึงก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปีผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็นเงาตามตัว


อัตราการเริ่มสูญเสียคอลลาเจน (collagen) เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป

- อายุ 30-39 ปี ผิวจะเริ่มมีรอยย่นบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่างและหางตาจะเห็นชัดเวลายิ้มและมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้วซึ่งจะเห็นชัดเวลาหน้านิ่ว มีริ้วรอยบางๆ ที่ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจเกิดไฝ กระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้นขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น

- อายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้ม และร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก มีฝ้าชนิดลึกมากขึ้นสภาพผิวเริ่มแห้งมีรูขุมขนใหญ่และเริ่มจะเป็นสิวอีกครั้ง มีติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ

- อายุ 50-64 ปี ผิวจะมีสภาพเหมือนกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น

- อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปากบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คล้ายกับวัย 50-64 ปี

ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคนโดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่สุดได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้ สารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เพื่อทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป


การทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป

การนำสารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิวและลดริ้วรอยนั้นปกติทำได้ 2 วิธีคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้และการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มากดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ด้วยการทา ซึ่งครีมบำรุงผิวต่างๆ ตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน (collagen) ก็จะเป็นเพียงการผลัก คอลลาเจน (collagen) ให้เข้าไปอยู่ได้แค่ชั้นผิวหนังกำพร้า แต่เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) มีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักจึงทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้นเท่านั้นจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากจะเปรียบเทียบระหว่างการฉีด คอลลาเจน (collagen) เข้าใต้ผิวหนังกับการรับประทานแล้ว จะพบว่า วิธีการรับประทานนั้นง่ายและสะดวกมากกว่าการฉีด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ

นอกจากนี้การรับประทานนั้นยังเป็นการนำ คอลลาเจน (collagen) เข้าไปเสริมสร้างทั้งส่วนของผิวหน้าและผิวพรรณทั่วร่างกาย โดยผลการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารที่สกัดจากโปรตีนของปลาทะเลน้ำลึกบางประเภทที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้าง คอลลาเจน (collagen) ของผิวคนเรา โดยวิธีการ Enzymatic Hydrolysis เป็นประจำอย่างต่อเนื่องนั้น สามารถช่วยเสริมสร้าง คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยปกป้องและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้งกระด้าง ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล คงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเล็บและเส้นผมให้มีสุขภาพดีได้อีกด้วย


บุคคลใดควรรับประทาน คอลลาเจน (collagen)

คอลลาเจน (collagen) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือเสื่อมสภาพลงเนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไปและควรศึกษาคำเตือนบนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ก่อนการรับประทาน

วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เราสามารถลดความอ้วนเราได้แม้ยามเราหลับ


ออกกำลังตอนกลางคืน ช่วยร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนมากขึ้น!
โกรทฮอร์โมน (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้เซลล์ในร่างกายฟื้นฟูสภาพ ในแง่ของนักกีฬาแล้วฮอร์โมนชนิดนี้นับว่าสำคัญมากในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ที่ผ่านมากล่าวกันว่า ช่วงเวลาที่ร่างกายมีการหลั่งโกรทฮอร์โมนมากที่สุด คือ เวลานอนหลับระหว่างสี่ทุ่ม ถึงตีสอง
แต่ปัจจุบัน ศาสตร์แห่งการชะลอวัย (Anti-Aging Medicine) มีการเปิดเผยออกมาใหม่ว่า เนื่องจากวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันที่นอนดึกมากกว่าในอดีต ทำให้ร่างกายของคนเราปรับเวลาการหลั่งโกรทฮอร์โมนใหม่ เป็นช่วงเวลา ตี1 ถึงตี 5 แทน หากต้องการให้ฮอร์โมนหลั่งออกมามากๆ แนะนำให้ออกกำลังกายตอนกลางคืน เช่น เล่นเวท บริหารหน้าท้อง ตีสควอท เมื่อเส้นใยกล้ามเนื้อเกิดการเสียหาย ร่างกายจะเร่งให้เกิดการสร้างโกรทฮอร์โมนเพื่อฟื้นฟูร่างกายในระหว่างนอนหลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 150% จากปกติ จึงทำให้ภูมิต้านทานโรคดีขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ กล้ามเนื้อได้รับการเสริมสร้าง หากนอนในช่วงสามชั่วโมงหลังออกกำลังจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ทั้งนี้มีข้อแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อยครับ ว่าไม่ควรทำภายใน 30 นาทีหลังทานอาหาร หรือภายใน 30 นาทีก่อนนอน เพราะจะทำให้ประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับไปแทนครับ

ข้อมูลจาก bodybuilding.com
               หนังสือ”เคล็ดลับผิวใสสไตล์ญี่ปุ่น”   

               ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็


Maxxlife Siluet peptide collagen 30 capsules.
แมกซ์ไลฟ์ ซิลูเอท เปปไทด์ คอลลาเจน 30 แคปซูล
Maxxlife Siluet peptide เลขที่อย.11-1-48241-1-0219

ใหม่ ด้วยสูตรประสิทธิภาพในเม็ดเดียว สารอาหารที่ช่วยบำรุงผิวพรรณจากคอลลาเจน และแอล-คาร์นิทีน โครเมียม แมงการนีส ช่วยเผาพลาญไขมันส่วนเกิน ลดน้ำหนัก ต้นแขน ต้นขา สะโพก ในตอนนอนหลับ

Siluet peptide ประกอบด้วย
คอลลาเจนเปปไทด์  800มก.
แอล-คาร์นิทีน 50มก.
แมงกานีส อะมิโน แอซิด ดีเลต 10มก.
โครเมี่ยม อะมิโน แอซิด 2.8มก.

1.คอลลาเจนเปปไทด์ เป็นอะมิโนทีสามารถย่อยสลาย และดูดซึมได้ถึง 80% ช่วยบำรุงผิวพรรณ เสริมสร้างคอลลาเจน ให้ความแข็งแรงกับผิว คอลลาเจน เปปไทด์ ช่วยสร้างโกรทฮอร์โมน เพิ่มเมตาบอลิซึมให้สูงขึ้นในขณะนอนหลับ เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กระชับ เผาพลาญไขมัน และเซลลูไลท์

2.แอล-คาร์นิทีน ช่วยในการเผาพลาญไขมัน เพิ่มอัตราการเผาพลาญไขมันในร่างกาย ทำให้ไขมันเข้าสู่กระบวนการเผาพลาญได้ดี

3.แมงกานีส อะมิโน แอซิด เพิ่มการทำงานของฮอร์โมนไทร๊อกซิน ช่วยเผาพลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย

4.โครเมี่ยม อะมิโน แอซิด คีเลต ช่วยเพิ่มการทำงานของอินซูลิน ช่วยเพิ่มการเผาพลาญน้ำตาลในเลือด ช่วยลดน้ำตาลและนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์โดยร่างกายสามารถนำน้ำตาลไปใช้ได้เต็มที่ ถ้าร่างกายขาดโครเมี่ยม จะทำให้น้ำตาลกลายเป็นไตรกลีเซอร์ไรดและไขมันสะสมในร่างกา

ขนาดรับประทาน Siluet
รับประทาน 1-2 แคปซูล ก่อนนอน
ควรรับประทานน้ำตาม 1-2 แก้วตาม
ควรก่อนกำลังกายควรคู่กับการกิน Siluet





ช่วงนี้มีโปรโมชั่น ราคา 370 บาท 30 Cap 
   ซื้อ 2 กล่อง ฟรี  10 Cap 

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ครีมลองกานอยด์ ต้านเข่าเสื่อม



ครีมลองกานอยด์มีคุณสมบัติช่วยป้องกันและบรรเทาภาวะเสื่อมสลายของกล้ามเนื้อคอลลาเจน        อิลาสติน และเซลล์กระดูกอ่อน อันเป็นสาเหตุสำคัญของรูมาตอยด์และกล้ามเนื้ออักเสบ สารสกัดเมล็ดลำไยพิสูจน์แล้วว่าสามารถยับยั้งการสลายองค์ประกอบที่สำคัญของกระดูกอ่อน อาทิ ไฮยารูโลนิค และ               ไกลโคสอะมิโนไกลแคน ทั้งยับยั้งเอนไซม์โปรทีเนส MMP มิให้ย่อยสลายกระดูกอ่อนและกล้ามเนื้อในภาวะทำงานหนัก จึงช่วยยืดอายุไขข้อกระดูกและกล้ามเนื้อไม่ให้เสื่อมและสึกหรอก่อนเวลา ที่สำคัญครีมดังกล่าวไม่มียากลุ่มสเตียรอยด์ ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัย
         ครีมนวดลองกานอยด์ต้านเข่าเสื่อม  เพื่อเป็นการช่วยให้ผู้สูงอายุซึ่งส่วนใหญ่มีปัญหาสุขภาพกันมากขึ้น  โดยเฉพาะอาการปวดเมื่อยตามไขข้อ  ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ  รวมทั้งกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ  ได้รับการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดซึ่งปลอดภัย  และประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า
“สำหรับครีมนวดลองกานอยด์มีราคาที่บุคคลทั่วไปหาซื้อได้  เมื่อเทียบกับครีมชนิดอื่นที่นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งมีราคาแพงมาก  " 
โทรสั่งซื้อเลย 081-140-4981 ราคาปรกติ 500 บาท พิเศษ ราคา 380 บาท จัดส่งทั่วประเทศ ของแท้ เมล็ดลำไย สารสกัดจากธรรมชาติ ปลอดภัย 
 (ราคายังไม่รวมค่าจัดส่ง สั่งซื้อครบ 1,000 บาท จัดส่งฟรี)

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สวยด้วยน้ำมันรำข้าว

 สวยด้วยน้ำมันรำข้าว

กำลังฮอตและฮิตติดตลาดสำหรับอาหารเสริมน้ำมันรำข้าว มีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี น้ำมันรำข้าวมีประโยชน์มาก อยู่ในเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว และจมูกข้าว (Rice Germ) จึงอุดมด้วยสาระสำคัญทางธรรมชาติ และมีคุณค่าสูงต่อร่างกายหลายชนิด เช่น
- กลุ่มสารฟอสโฟไลฟิด (Phosp holipids) เช่น เลซิติน (Lecithin) เซฟฟาลิน (Cephalin) ไลโซเลซิติน (Lysolecithin) ซึ่งมีความสำคัญในการนำไปสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของเซลล์ประสาทสมอง และช่วยป้องกันเซลล์ประสาท จากสารที่เป็นพิษและอนุมูลอิสระต่าง ๆ ช่วยลดความเครียด และช่วยเสริมสร้างในด้านความจำ
- กลุ่มเซราไมด์ (Ceramide) ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของชั้นใต้ผิวหนัง ช่วยทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นการเสริมสร้างเซราไมด์ให้เพียงพอ ทั้งโดยการรับประทานหรือการให้ทางผิวหนังในรูปการทาครีม หรือโลชั่น จะช่วยรักษาผิวพรรณให้สดใสเปล่งปลั่ง ปราศจากริ้วรอยย่นก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้เซราไมด์ยังมีคุณสมบัติเป็น ไวท์เทนเนอร์ (Whitener) ซึ่งสามารถยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน อันเป็นสาเหตุให้เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำบนผิวพรรณได้ดี และยังเป็นมอยส์เจอร์ไรเซอร์ (Moisturizer) ให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวอีกด้วย
- กลุ่มคอลโทคอล (Tocols) วิตามินอีธรรมชาติ ในรูปของโทโคเฟอรอล (Tocopherol) และโทโคไทรอีนอล (Tocotrienol) มีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของร่างกายและยังช่วยทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อโรคต่าง ๆ ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุสำคัญของการเกิดโรคมะเร็ง
- กลุ่มกรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 6 และ กรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) หรือโอเมก้า 3 ที่เป็นกรดไขมันจำเป็น โดยมีอยู่ประมาณ 33%
- กลุ่มวิตามิน B - Complex ซึ่งช่วยให้การทำงานของระบบประสาทดีขึ้น
- กลุ่มแกมมา - ออไรซานอล มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ทำให้ลดการตีบตันของหลอดเลือด เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และยังมีฤทธิ์ในการลดความเครียด และรักษาอาการผิดปกติของสตรีวัยทอง นอกจากนี้ยังเป็นสารอนุมูลอิสระ และยังป้องกันแสงยูวีได้ เมื่อใช้กินหรือใช้ทา ทำให้ผิวหนังชุ่มชื่นและต้านการอักเสบ สารชนิดนี้มีความปลอดภัยสูงมาก

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทำไมต้องสาหร่าย เกลียวทอง



          สาหร่ายเกลียวทอง คือ สาหร่ายหลายเซลล์ สีเขียวแกมน้ำเงิน ที่อุดมด้วยคุณค่าทางสารอาหารครบ 5 หมู่ เพียบพร้อมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายต้องการ ย่อยสลาย และดูดซึมง่าย เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็วและไม่มีผลข้างเคียงเมื่อรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน

        สาหร่ายเกลียวทอง หรือ สาหร่ายสไปรูลิน่า (spirulina) การค้นคว้าของ นักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสาหร่ายเริ่มมากขึ้นเมื่อพบว่า มีสาหร่ายบางชนิดมนุษย์ได้ใช้เป็นอาหารมานานกว่า 500 ปี ใน ค.ศ. 1521 (พ.ศ. 2064) ได้มีการรายงาน ซึ่งพบจากบันทึกของกองทัพคอร์ตเตส (Cortez's Troops) ว่าชาวเม็กซิกัน กินอาหารเป็นพวกสาหร่ายชนิดหนึ่งโดยชาวพื้นเมืองปลูกในทะเลสาบ (Lake Texcoco) เก็บมาตากแห้งแล้วนำมาขายในตลาดเพื่อใช้เป็นอาหาร ในยุคของการตื่นตัวเรื่องสุขภาพ และความระมัดระวังที่จะเลือกอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้มีการศึกษาในหลายสถาบันเพื่อให้ได้อาหารที่เป็นอุดมคติของนักโภชนาการ นำมาซึ่งการค้นพบสาหร่าย พืชขนาดจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกชื่อต่อมาว่า สไปรูลิน่า Spirulina

       เป็นที่น่าทึ่งมากว่า สาหร่ายเกลียวทอง ประกอบด้วยสารอาหารหลากหลายทีทรงคุณค่ามากกว่าเนื้อสัตว์ และพืชชนิดอื่น ๆ เปรียบเสมือน โรงงานผลิตอาหารของโลกเลยทีเดียว
  • มีโปรตีนซึ่งสูงกว่า เนื้อ นม ไข่ ถึง 3 เท่า
  • ีกรดอะมิโนครบถ้วน 18 ชนิด และเรียงตัวกันอย่างสมดุล
  • อุดมไปด้วยวิตามิน B1,  B2,  B6,  B12 , E และ  H  ซึ่งวิตามิน B12 มีมากกว่าในตับ ถึง 250% 
  • เบต้าแคโรทีนมากกว่าแครอทถึง 20 เท่า
  • มีธาตุเหล็กมากกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ ถึง 12 เท่า
  • มีซีลีเนียม สังกะสี และธาตุอื่น ๆ ที่จำเป็นต่อร่างกายครบถ้วน
  • มีกรดไขมันแกมมาไลโนเลนิก ที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือดมากถึง170 เท่าของที่มีในน้ำมันพืช 
  • มีคลอโรฟิลล์ในปริมาณที่มากกว่าพืชชนิดใด ๆ และมากกว่า วีตกราส ถึง 2 เท่า





  • คุณแน่ใจหรือว่าอาหารทุกมื้อที่คุณรับประทานมีคุณค่าครบ 5 หมู่ ?
  • คุณมีเวลาพอที่จะใส่ใจกับอาหารทุกมื้อของคุณหรือไม่ ?
  • อาหารที่คุณรับประทานปราศจากสารพิษและยาฆ่าแมลงแล้วหรือ ?
  • คุณหรือคนที่คุณรักมีอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ 
  • โรคตับ คลอเลสเตอรอลในเลือดสูง กระเพาะอาหาร ฯลฯ หรือไม่ ?
       
        จากโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (HIV) มาจนถึงไข้หวัดนกกลายพันธุ์ ทำให้นักวิจัยทั่วโลกหันมาสนใจสาหร่ายเกลียวทองเริ่มจากนักวิจัยรัสเซียยืนยันว่าแม้ เซลล์ตั้งต้น (STEM CELL) ของกระดูกไขสันหลังจะถูกทำลายโดยสารกัมมันตภาพรังสีจนไม่สามารถผลิตเม็ดเลือดขาวได้ ไฟโคไซยานิน  สารสีน้ำเงินในสาหร่ายเกลียวทองสามารถช่วยให้มีการผลิตเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงได้อีกนักวิจัยของจีนก็ยืนยันอีกว่า น้ำตาลเชิงซ้อน ในสาหร่ายเกลียวทอง สร้างภูมิคุ้มกันได้จริง ผลการวิจัยของอีกหลายสำนักรวม ทั้งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยืนยันว่า สารสกัดจาก สาหร่ายเกลียวทองสามารถหยุดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเอดส์ได้
 

         สาหร่ายเกลียวทอง H-Life มีสารอาหารวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุดังกล่าว ครบถ้วนหญิงมีครรภ์ต้องการวิตามินมากกว่าปกติ 30% และต้องการเกลือแร่มากกว่า ปกติ 50 % เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตและพัฒนาการ ทางสมองของเด็กผู้ที่เป็นแม่ต้องกินอาหารโปรตีนที่มีคุณภาพ คือ กรดอะมิโน ครบ 18 ตัวพร้อมทั้งวิตามินเอ และวิตามิน บี6 ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ มีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทอง H-Life ทั้งสิ้น ฉะนั้นสาหร่ายเกลียวทอง H-Life จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับหญิงมีครรภ์และเด็กในวัยเจริญเติบโต
    ผู้ที่ควรรับประทานสาหร่ายเกลียวทอง H-Li f e
         สาหร่ายเกลียวทอง H-Life เป็นอาหารธรรมชาติชนิดเดียวที่มีคุณค่าของสารอาหาร
ครบถ้วนที่ร่างกายต้องการ จึงเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย




         ผู้ป่วยเบาหวานหากควบคุมการรับประทานอาหารได้ ก็สามารถ ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้ และต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ป่วย เบาหวานมักมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่นโรคความดันโลหิตสูง เนื่องมาจากครอเลสเตอรอลในเส้นเลือด โรคหัวใจตาฝ้าฟาง เป็นต้น  สาหร่ายเกลียวทอง มีกรดแกรมมาไลโนเลนิก ที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมี เบต้าแคโรทีน เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ วิตามิน Aซึ่งช่วยบำรุงสายตา และยังมีครอโรฟิลล์ที่ช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้เป็นปกติขึ้น และซีสทีนเป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่งซึ่งสามารถผลิตอินซูลินได้ด้วย
          ผู้ป่วยเบาหวานหากควบคุมการรับประทานอาหารได้ ก็สามารถ ควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับปกติได้ และต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ผู้ป่วย เบาหวานมักมีอาการของโรคแทรกซ้อน เช่นโรคความดันโลหิตสูง เนื่องมาจากครอเลสเตอรอลในเส้นเลือด โรคหัวใจตาฝ้าฟาง เป็นต้น สาหร่ายเกลียวทอง มีกรดแกรมมาไลโนเลนิก ที่ช่วยลดคลอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมี เบต้าแคโรทีน เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ วิตามิน Aซึ่งช่วยบำรุงสายตา และยังมีครอโรฟิลล์ที่ช่วยสร้างเซลล์ตับขึ้นมาใหม่ทดแทนเซลล์ที่ถูกทำลายทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้เป็นปกติขึ้น และซีสทีนเป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่งซึ่งสามารถผลิตอินซูลินได้ด้วย         
         กรดแกมมาไลโนเลนิกในสาหร่ายเกลียวทองH-Life ช่วยลดคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้ลดอัตราเสี่ยงโรคหัวใจและความดันโลหิต          



      




         
         สาหร่ายเกลียวทอง H-Life มีธาตุเหล็กและวิตามิน B12 อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งสารทั้งสองชนิดนี้สำคัญสำหรับเม็ดเลือดแดง และระบบภูมิคุ้มกันช่วยป้องกันโรคโลหิตจางนอกจากนี้แคลเซียมที่สูงยังป้องกันโรคกระดูกพรุนและคลอโรฟิลล์ ที่ช่วยปรับฮอร์โมนที่ขาดหายให้สมดุล

      




 
         
          สาหร่ายเกลียวทอง H-Life เป็นแหล่งสำคัญของ กรด“กลูตามิก” ซึ่งมีความ สำคัญในขบวนการเผาผลาญ อาหารให้สมอง การได้รับกรดกลูตามิกเข้าไปจะช่วยให้เกิด ความสมดุลทั้งในร่างกายและระบบประสาท ทำให้รู้สึกเป็น หนุ่มเป็นสาว ความจำดีขึ้น ทำให้สุขภาพของสมองและ บุคลิกภาพดีขึ้น
         ทั้งผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะพักฟื้น มีอะวัยวะบางส่วนเริ่มสึกหรอหรือเสื่อมสภาพลงทำให้ระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำงานไม่ปกติเท่าทีควร เช่นระบบทางเดินอาหารการย่อยสลายและการดูดซับไม่สมบูรณ์ทำให้ดูดซับอาหารได้น้อยร่างกายได้สารอาหารไม่ครบดังนั้น การรับประทานสาหร่ายเกลียวทอง H-Life ที่มีคุณค่าทางอาหารครบทั้งโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ย่อมจะเป็นคลังอาหารชั้นดีสำหรับผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะพักฟื้น เพราะสาหร่ายเกลียวทอง H-Life ย่อยง่ายและร่างกายดูดซับได้ดี  นอกจากนี้ สาหร่ายเกลียวทอง H-Life ยังมีวิตามิน  E, C ซิลิเนียม อยู่อย่างพอเหมาะช่วยชะลอความชรา         
         


         สาหร่ายเกลียวทอง H-Life มีกรดอะมิโนลิวซีนเป็นสารกระตุ้นการทำงานของสมองและเพิ่มพละกำลังให้กับกล้ามเนื้อ ช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูกำลังให้กลับคืนมาได้รวดเร็วและยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นักกีฬาทีมชาติสหรัฐฯ ชุดโอลิมปิกส่วนใหญ่รับประทานสาหร่ายเกลียวทอง         
    


     






 
         สาหร่ายเกลียวทอง H-Life ช่วยป้องกันอาการเมาค้างทั้งนี้เพราะ สาหร่ายเกลียวทอง H-Life มีโปรตีนที่มีคุณภาพสูงสามารถป้องกันโรคตับจากพิษแอลกอฮอล์ได้




         สาหร่ายเกลียวทอง H-Life มีปริมาณเบต้าแคโรทีนสูงและยังมีวิตามิน C,วิตามิน E ซิลิเนียม และไฟโคไซยานิน เป็นสารแอนตี้ออกซิเดนท์ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้






          สังกะสี เป็นแร่อีกตัวหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในสาหร่ายเกลียวทอง H-Life การขาดสังกะสีอาจทำให้การทำงานทางเพศผิดปกติทริพโตเฟน เป็นกรดอะมิโน ซึ่งมีผลต่อพลังทางเพศ ถ้าได้รับสารนี้ไม่เพียงพออาจมีผลต่อความเชื่อมั่น ในความเป็นชาย อาร์จินีน  เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญยิ่งตัวหนึ่งซึ่งการขาดอาร์จินีนอาจเป็นผลให้หมดสมรรถภาพทา
ขอบคุณข้อมูลดีดี จากhttp://www.hlifespirulina.com

วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แฝดคู่ดี


  แฝดคู่ดี

  เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้
1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อย
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี ตัวช่วย พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ
5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา)  ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วย

นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ได้มาแจกแจงคู่ยา มิตร-ศัตรู ให้เข้าใจกันชัดๆ เรียบร้อยแล้ว

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

อาหารเสริม เฟมินี Feminie




อาหารเสริม เฟมินี Feminie 
อาหารเสริมสำหรับผู้หญิง 
ควบคุมการทำงานของร่างกาย
 ทำให้เกิดความสมดุล


ผู้หญิงกว่า 98% ถูกรบกวนด้วยปัญหาเหล่านี้
ปัญหาต่างๆ ที่รบกวนจิตใจของผู้หญิงกว่า 98% เช่น หน้าอกเล็กแบน หน้าอกหย่อนคล้อย หน้าท้องป่อง อ้วนง่ายแม้ทานน้อย ผิวแห้งหยาบ มีกระ ฝ้า รอยด่างดำ ปวดตามข้อ และบั้นเอว หรือปัญหาลับ ๆ ที่สร้างความรำคาญใจ เช่น ปวดท้องเวลามีประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา  เลือดประจำเดือนมีสีคล้ำเป็นก้อนลิ่ม ช่องคลอดหย่อนยานไม่กระชับ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ช่องคลอดแห้ง ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการขาดสมดุลของระบบฮอร์โมนในร่างกาย

อาหารเสริมสำหรับผู้หญิงช่วยต่อต้านความเสื่อมแห่งวัยและปัญหาของผู้หญิงโดยเฉพาะ      อาหารเสริมสำหรับเพศหญิง (Feminine) ประกอบด้วยสารสกัดจากทับทิม, โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง, คอลลาเจนจากปลา, สารสกัดจากมะเขือเทศ, กลูตาไธโอน, ซิ้งค์ อะมิโนแอซิด คีเลต, กรดแอสคอบิคและวิตามินอี
      สารอาหารเหล่านี้จะออกฤทธิ์กระตุ้นการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงควบคุมฮอร์โมนที่ออกจากต่อมไร้ท่อที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย และการไหลเวียนโลหิตที่มีประสิทธิภาพทำให้ร่างกายสามารถสร้างเนื้อเยื้อและเลิอด รูปร่างสัดส่วนจึงกระชับกล้ามเนื้อเต่งตึงไม่เหี่ยวย่น สารไฟโตรแอสโตรเจนที่ทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยบำรุงมดลูกและต่อมไร้ท่อต่างๆ ได้เป็นอย่างดีชข่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ดีท๊อกซ์สารพิษ บำรุงเซลล์ผิวหนังเม็ดเลือดให้แข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำให้เลือดสะอาดและเพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ช่วยสร้างความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อไม่ให้เสื่อม พร้อมรักษาผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง

      การขาดสมดุลฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ร่างกายเกิดความเสื่อมเข้าสู่วัยชราอย่างรวดเร็ว เพราะฮอร์โมนเพศจากต่อมไร้ท่อทำงานสัมพันธ์กันเป็นระบบ และควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่าง ๆ ในร่างกายถ้าเราต้องการให้ร่างกายแข็งแรงและคงความสาวอยู่เสมอต้องรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย
การทำงานของฮอร์โมนเพศที่ควบคุมการสั่งการของร่างกายควบคุมต่อมใต้สมอง
 ให้ผลิตฮอร์โมนกระตุ้นต่อมเพศและกระตุ้นต่อมน้ำนม จึงทำให้หน้าอกตั้งชูขึ้น เต้านมเต่งตึงและมีขนาดใหญ่ขึ้นควบคุมต่อมไฮโปธาลามัส
  กระตุ้นให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน ส่งผลให้รังไข่ทำงานผลิตไข่จึงทำให้รอบเดือนมาตามปกติ เกิดอารมณ์เพศ และสร้างน้ำหล่อลื่นภายในช่องคลอด มดลูกแข็งแรง ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ทำให้เลือดประจำเดือนออกมาสีแดงสด เนื้อเยื่อปากมดลูกมีความยืดหยุ่น ช่องคลอดจึงฟิตกระชับ แข็งแรงควบคุมต่อมอื่น ๆ
  การสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน ความจำและสง่าราศี กระตุ้นการเผาผลาญไขมัน ควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้เกิดไขมันหน้าท้อง ควบคุมระดับแคลเซี่ยมในร่างกายป้องกันโรคกระดูกพรุน


 
ผลลัพธ์ที่ได้จาการรักษาสมดุลของฮอร์โมนเพศในร่างกาย
 
3 กระชับ      - กระชับช่องคลอดและมดลูก
                  - กระชับหูรุดปัสสาวะ
                  - กระชับกล้ามเนื้อและสัดส่วน
 
 
3 เพิ่ม         - เพิ่มน้ำหล่อลืนและอารมณ์เพศ
                 - เพิ่มขนาดความเต่งตึงของหน้าอก
                 - เพิ่มความขาวใสและคอลลาเจนให้ผิว
 

 3 ลด          - ลดสิว กระ ฝ้า และริ้วรอยจุดด่างดำ
                 - ลดอาการปวดท้องประจำเดือน
                 - ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ความดัน กระดูกพรุน และอาการวัยทอง
 
 1 ปรับ        - ปรับสมดุลระบบฮอร์โมนเพศ ทำให้ร่างกาย และจิตใจสดชื่นแจ่มใส

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

วิตามินและสารอาหารคืออะไร


วิตามิน

วิตามิน เป็นส่วนหนึ่งของสารอาหาร เป็นสารที่ร่างกายต้องการเพียงวันละน้อย แต่มีความจำเป็นต่อการทำงานของร่างกาย ตั้งแต่การหายใจของเซลล์ การนำโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ไปใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ และผลิตพลังงานสำหรับการดำรงชีวิต นอกจากนี้ วิตามินยังจำเป็นสำหรับการทำงานของอวัยวะต่างๆ เช่น การสร้างเม็ดเลือดแดง การแข็งตัวของเลือด การสร้างกระดูก การมองเห็น และการทำงานของระบบประสาท วิตามินจึงเป็นสารสำคัญที่ร่างกายจะขาดไม่ได้

วัตถุประสงค์ของการให้วิตามิน
  1. เพื่อเสริม เป็นการให้วิตามินบางชนิดเพื่อเสริมบางสภาวะที่ร่างกายมีความต้องการวิตามินและเกลือแร่มากกว่าปกติ เช่น หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างให้นมบุตร ผู้ป่วยระยะพักฟื้น จะมีความต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น
  2. เพื่อป้องกันการขาด เป็นการเสริมสารอาหารในคนที่มีความเสี่ยงต่อภาวะขาด เช่นเด็กแรกเกิด หรือผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
  3. เพื่อการรักษา ให้กับผู้ป่วยที่แสดงอาการของการขาดวิตามินบางชนิด
  4. เพื่อหวังผลทางเภสัชวิทยา เนื่องจากวิตามินขนาดสูงๆ จะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคบางโรคได้
ชนิดของวิตามิน แบ่งตามคุณสมบัติในการละลายน้ำ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
วิตามินที่ละลายในน้ำ
  • วิตามินบี 1
  • วิตามินบี 2
  • วิตามินบี 5
  • วิตามินบี 6
  • วิตามินบี 7 / วิตามิน เอช / ไบโอติน
  • วิตามินบี 8 / อิโนซิทอล
  • วิตามินบี 9 / โฟเลท
  • วิตามินบี 11 / โคลีน
  • วิตามินบี 12 / โคบาลามิน
  • วิตามินซี
  • วิตามินพี/ รูติน
วิตามินที่ละลายในไขมัน


เกลือแร่

เกลือแร่มีบทบาทและหน้าที่สำคัญใน ร่างกายหลายอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำหน้าที่เป็นโครงสร้างของร่างกาย เป็นองค์ประกอบของเซลล์เนื้อเยื่อและเส้นประสาท เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์ ฮอร์โมน และวิตามิน นอกจากนี้ เกลือแร่ยังทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อในทุกอวัยวะ จากความสำคัญและหน้าที่ ดังกล่าวนั้น จะเห็นว่า เกลือแร่เป็นสารอาหารที่มีความสำคัญยิ่งต่อร่างกาย ซึ่งร่างกายต้องได้รับเพียงพอ จึงจะเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่และแข็งแรง อาหารทั่วไปที่เป็นแหล่งของ เกลือแร่ทั้งชนิดหลักและชนิดปริมาณน้อยแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ชนิดของอาหาร ตัวอย่าง เกลือแร่ที่มีความสำคัญต่อร่างกายประกอบด้วย แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไอโอดีน เหล็ก แมกนีเซียม สังกะสี ทองแดง และโพแทสเซียม เป็นต้น
  • เกลือแร่หลัก
    • กำมะถัน
    • แคลเซียม
    • โซเดียม
    • โปตัสเซียม
    • ฟอสฟอรัส
    • แมกนีเซียม
    • แมงกานีส
    • เหล็ก
    • ไอโอดีน
    • โคบอลต์
  • เกลือแร่ส่วนน้อย
    • โครเมียม
    • ซีลีเนียม
    • ทองแดง
    • สังกะสี




จากการศึกษาค้นคว้าในตำราหลายเล่ม เราพบว่าการรับประทานวิตามินนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อการป้องกันโรคมากกว่าการรักษาโรค ซึ่งโดยทั่วไปสำหรับการดำรงชีวิตนั้น ร่างกายทุกคนในแต่ละวัย ต้องการวิตามิน 13 ชนิด และแร่ธาตุอย่างน้อย 10 ชนิด บางครั้งอาหารที่เรารับประทานอาจไม่มีวิตามิน หรือแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ใหม่ เสริมสร้างเนื้อเยื่อ หรือปรับปรุงกระดูกที่เริ่มจะบางหรือเป็นรูพรุนให้กลับสู่สภาพเดิม ดังนั้นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกายด้วยการรับประทานวิตามิน และสารอาหารเพิ่มเติม จึงเป็นเรื่องที่น่าศึกษาเพื่อให้เราสามารถเลือกรับประทานวิตามินและสารอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย
สารอาหาร
คือ อาหารที่กินเข้าไปแล้ว ถูกย่อยด้วยกระบวนการย่อยจนได้โมเลกุลของอาหารที่เล็กลงแล้วร่างกายสามารถนำเอาไปใช้ได้ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มใหญ่ คือ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ สารอาหารเหล่านี้จะทำหน้าที่ควบคู่กัน มีการเปลี่ยนแปลงในร่างกายคนแตกต่างกัน
ประโยชน์จากสารอาหาร
  1. ได้พลังงาน พลังงานที่ได้จากอาหารทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะอื่นๆ ทำงานได้
  2. เพื่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะเป็นทารกจนถึงวัยผู้ใหญ่ มนุษย์ใช้อาหาร
    ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต และเมื่อยามสูญเสียเซลล์ในร่างกายบางส่วน อาหารก็จะสามารถสร้างเซลล์ขึ้นมาทดแทนได้
  3. เพื่อดูแลสุขภาพให้แข็งแรง